เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ เนื่องจากจบเกษตรมาจากวิทยาลัยเกษตรเพชรบุรีจบ ปวช. จากนั้นมาเรียนต่อ ปวส ที่สถาบันเทคโนโรยีทางการเกษตรพระนครศรีอยุธยาเมื่อจบ ก็มุ่งมั่นที่จะมาสอบเข้า แม่โจ ตามความฝันของเด็กเกษตรทุกคนในสมัยนั้นแหละค่ะ ด้วยความที่สมองหนาปัญญาน้อยเลยสอบเข้าไม่ได้ จึงต้องหาที่เรียนอื่น จึงหันไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนของเมืองเชียงใหม่ ด้วยความที่ชอบอากาศและผู้คนที่นี่จึงไม่ยอมกลับบ้านที่ประจวบ และก็ไมได้สนใจด้านเกษตรอีกเลย เพราะไม่ได้เรียนด้านการเกษตรแต่ไปเรียนด้านบริหารงานบุคลแทน แต่ด้วยความที่พ่อแม่พี่น้องเป็นชาวไร่ชาวสวน ในใจก็ยังตั้งเป้าไว้เสมอว่าวันหนึ่งจะมี ฟร์ามเล็กๆเป็นของตนเอง วันหนึ่ง โอการก็มาถึง (เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว)ได้มีโอกาศมาเที่ยวบ้านที่เรียนด้วยกัน มีชาวบ้านแถวนั้นต้องการขายที่ 7 ไร่ 30,000บาท ที่ ใบสทก สมัยนั้นไม่มีราคา ก็เลยตกลงชื้อไว้แล้วก็ชื้อทิ้งไว้ให้คนอื่นทำจริงๆ ตัวเองก็ต้องเรียนไปด้วยหาเงินใช้หนี้ไปด้วยไม่มีเวลามาเหยียบที่สวนอีกเลยจนเรียนจบ ก็ทำงานที่เชียงใหม่อีกหลายปีก็ยังไม่ได้เดินทางตามฝันสักที(ทุกวันเดินตามหาเงิน)แต่ในเวลาที่ทำงานอยู่ก็ได้ชื้อที่เพิ่มในบริเวณที่ติดๆกันที่ชาวบ้านมาขายให่อีกหลายแปลง ระหว่างที่ทำงานได้มีโอกาศเข้าไปสวนบ้างทดลองจ้างคนมาทำ ปลูก ผลไม้จนเต็มสวน แต่ไม่ได้ผลเลยเพราะเราไม่ได้ทำเองหมดเงินไปกับค่าจ้าง แล้วงานก็ไม่คืบหน้า ไฟป่าบ้าง ขโมยบ้าง ชาวบ้านตัดทิ้งบ้าง (มาทราบตอนหลังว่าที่ตัดผลไม้ทิ่ง เพราะเกะกะถั่วที่ชาวบ้านมาขอปลูก) แต่ในเวลาที่ทำงานอยู่ก็ได้ชื้อที่เพิ่มในบริเวณที่ติดๆกันที่ชาวบ้านมาขายให่อีกหลายแปลง ในที่สุดก็หมดกำลังใจหมดเงินไปที่ดินก็กลับมารกร้างว่างเปล่าเหมือนเดิม จนในที่สุดก็ย้ายถินฐานจากเชียงใหม่กลับไปทำงานที่บ้านเกิดจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาดูที่ดินแปลงนี้อีกเลย และตั้งใจจะตั้งรกรากที่บ้านเกิดเพราะแต่งงานกับแฟนซึ่งมีบ้านเกิดที่ประจวบด้วย แล้ววันหนึ่งก็มีคนโทรไปขอซื้อที่แปลงนี้จึงพากันกับแฟนนั่งรถไฟมาเชียงใหม่เพื่อจะมาขายที่ดินแปลงนี้ แต่พอมาถึงแฟนกลับเปลี่ยนใจไม่ยอมขาย แล้วชวนให้เราย้ายกลับมาอยูเชียงใหม่อีกครั้ง
แล้วก็กลับไปประจวบบอกเซ้งกิจการทัวร์เล็กๆ และอู่ของแฟน แล้วเก็บกระเป๋าเดินทางมาเชียงใหม่อีกครั้ง(ใครห้ามก็ไม่ฟัง)ที่มีคนห้ามเพราะเรา2 คนเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวและทำงานมามากมายหลายอย่างแต่ยังไม่ประสบความสำเส็จสักที ทุกคนก็เป็นห่วง แตเราสองคนก็ตัดสินใจแนวแน่เดินหน้ามาตามฝันของตัวเอง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
มาถึงวันนี้ได้ปีนี้เข้าปีที่3 แล้วถึงแม้ชีวิตที่ผ่านมาจะลุ่มๆดอนๆแต่ก็พอมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว จึ่งอยากแบ่งบัน ให้คนอื่นๆที่ฝัน เดินมางต่อไป หากเราไม่หยุดเดินสักวันคงต้องถึงเส้นชัยจนได้ ถึงแม้จะช้ากว่าใครแต่เมื่อเราไม่หยุดมันจะต้องถึงแน่นอน
สวนของเราไม่มีไฟฟ้า ไม่มีปะปา (เมื่อ15 ปีที่แล้วไม่มียังไงตอนนี้ก็ยังคงไม่มีเหมือนเดิม)เสียดายที่ไม่ค่อยได้เก็บภาพเดิมๆไว้บ้าง
แต่จริงๆหากพูดถึงเกษตรพอเพียง เราก็เหมือนพึ่งเริ่มต้นแหละ
อีกอย่างเราสองคนไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเกษตรพอเพียงได้เลยเพราะแฟนเราเป็นช่างซอมรถ ส่วนเราถึงแม้จะเคยเรียนเกษตรมาแต่ก็ได้เปลี่ยนไปจนลืมวิชาที่เคยเล่าเรียนงานด้านการเกษตรจนหมดเหมือนเริ่ม หนึ่งใหม่ แต่เราสองคนก็จะพยายามเอาสิ่งที่เราสองคนกับแฟนชอบมาใส่รวมกันไว้ในสวนของเราแฟนบอกว่าหากเราได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบได้อยู่กับสิ่งที่ตนเองรัก เราจะมีความสุขเราต้องทำบ้านและสวนควบคู่ไปกับทำสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก เราจะไม่อยากไปใหนเราจะรักบ้านและอยากอยู่กับมัน มันอาจไม่เหมือนใครแต่ แบบนี้จะเรียกว่า สวนพอเพียงในแบบของมาลีบูนะ
รถคันนี้คือรถที่พาเรามาทำตามฝันขับ( เป็นรถที่ไม่เข้ากับงานเกษตรเลยใช่ใหม?)

ช่วงนี้มีเวลาว่างแล้ว เดียวมา อัพเดรท เรื่องบ้านสวนมาลีบูกันต่อนะค่ะ