การเลือกซื้อ ปั้มน้ำก่อนเลือกซื้อปั้มน้ำ เราควรเข้าใจหลักการก่อน
1. ปั้มน้ำทำงานด้วยความแรงเพียงระดับเดียว ถ้าไม่มีระบบคอนโทรล เร่ง-ลด มอเตอร์เข้ามาช่วย ดังนั้น ปั้มจะทำงานที่ความแรงสูงสุดเดียวจุดเดียว
2. ประสิทธิภาพของน้ำที่ออก จะแปรผกผันกันระหว่าง Q กับ H เช่น Q มาก H จะน้อย เป็นต้น ดังนั้นปั้มน้ำที่ดี จะมีแค่ความแปรผกผันที่น้อย
3. ขนาดของแรงม้า ไม่ได้เป็นตัวบอกประสิทธิภาพ การเลือกปั้มควรเลือกด้วย การคำนวณหาค่าใช้จ่าย W ต่อปริมาณน้ำ ในจุด H และ Q ที่เราใช้งาน
เช่น
ปั้ม A ขนาด 750 วัตต์ หรือ 1 แรงม้า สามารถส่งน้ำได้ 10Qต่อชั่วโมง ที่ H 25
ปัั้ม B ขนาด 375 วัตต์ หรือ 0.5 แรงม้า สามารถส่งน้ำได้ 6Qต่อชั่วโมง ที่ H 25
แสดงว่า
ปั้ม A ใช้ไฟฟ้า 1 วัตต์ จ่ายน้ำได้ 10,000/750 = 13.34 ลิตร
ปั้ม B ใช้ไฟฟ้า 1 วัตต์ จ่ายน้ำได้ 6,000/375 = 16 ลิตร
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่า ปั้ม A กินไฟฟ้า เสียค่าใช้จ่ายระยะยาวสูงกว่า
แต่ปั้ม A จะได้เรื่องประสิทธิภาพการให้น้ำต่อ 1 เครื่องสูงกว่า จึงจ่ายน้ำได้เร็วกว่า
ทีนี้เราก็ต้องมาคิดชั้นที่ 2 คือ ถ้าเราใช้ปั้ม B 2 เครื่อง
เราจะได้ น้ำ 12Q เสียไฟฟ้า 750 วัตต์
ดูแล้วจะมากกว่าปั้ม A ด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่ต้องคำนวณต่อคือ
1. ราคา ปั้ม A เครื่องเดียว กับปั้ม B 2 เครื่อง ราคาต่างกันอย่างไร เอาราคาไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายต่อน้ำ 1 ลิตร ก็จะรู้คำตอบ
2. อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ การมี 2 ปั้ม ต้องมีอุปกรณ์ท่อ ตู้คอนโทรล ระบบต่างๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่า
3. ชั่งน้ำหนัก ข้อดีข้อเสีย การมี 1 ปั้ม กับ 2 ปั้ม
4. อัตราการสูญเสีย ปั้มใช้มอเตอร์ ดังนั้น ประสิทธิภาพการแปลงไฟฟ้าเป็นกลศาสตร์ จึงสำคัญ มอเตอร์ที่ดี จะมีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานที่ดีด้วย
ข้อ 4 นี่ละ ที่โดยมาก ปั้มมียี่ห้อดีๆ จะได้เปรียบเรื่องนี้ ซึ่งส่งผลระยะยาวถึงค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าด้วย
---------------------------------------------------------------------
และจากหลักการข้อ 1 ที่ผมบอกไว้
ปั้มน้ำจึงมี ระบบเข้ามาช่วยอีก 1 ระบบ คือ ระบบอัดแรงดัน หลักการก็เหมือนท่อแอร์แว นั้นละครับ
คือ เมื่อปั้มน้ำทำงานจนแรงดันในท่อถึงจุดที่ตั้งไว้ ปั้มก็จะหยุดทำงาน เพื่อไม่ให้สูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
ตรงนี้สำคัญที่ว่า ถ้าคุณคำนวณปั้มน้ำดีๆ แต่ละโซนใช้พลังจากปั้มจนหมด คุณก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบแรงดันใดๆ เพราะมันจะแทบไม่มีประโยชน์เลย
นึกถึงปั้มอัตโนมัติตามบ้านตัวเล็กๆ เวลาคุณเปิดน้ำแรงๆ สุดๆ มันจะทำงานดังตลอดเวลา แต่พอคุณเปิดน้ำค่อยๆ มันจะทำงานนิด แล้วก็หยุด แล้วก็สตาร์ทมาทำงานอีกนิด แล้วก็หยุด วนๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะปิดน้ำ
นั่นเพราะ ตอนคุณเปิดน้ำค่อยๆ ปั้มทำงานอัดแรงเข้าไปสูงกว่า ระบบจึงตัดไม่ให้อัดไปแรงกว่านี้
แต่พอคุณเปิดเต็มที่ ก็เรียกว่า อัดแรงเข้าไปพอดีกับการใช้งาน ระบบมันก็เลยไม่ตัด
ดังนั้น ระบบปั้มน้ำของคุณ ควรจะมีหม้อแรงดัน ก็ต่อเมื่อ คุณจัดแบ่งโซนน้ำแล้ว พบว่า แต่ละโซนใช้ประสิทธิภาพของปั้มไม่เท่ากัน
หรืออีกแนวทางหนึ่ง คือ ใช้การวางระบบท่อลดแรงดัน
คือ ท่อที่ต่อออกมาอีก 1 ทาง มีเกจวัดแรงดัน มีวาวล์ และท่อนั้นทางออกของน้ำก็กลับเข้าสู่ระบบแท็งก์น้ำ
เมื่อใดที่จ่ายน้ำแล้วมีแรงดันเหลือ ก็ต้องมาปรับลดเพิ่มที่วาวล์ โดยดูจากเกจวัดแรงดันเป็นหลัก
หากไม่ทำเช่นนี้ แรงดันที่เกิน จะทำความเสียหายให้กับระบบจ่ายน้ำ สปริงเกอร์ต่างๆ ได้
-------------------------------------------------------------------------
ส่วนผม โดยหลักการนี้ ปั้มน้ำ สำหรับจ่ายน้ำให้สวน จึงตกมาที่ SAER BP5

เหตุที่เลือกนี้ เพราะถ้าดูจากตาราง
เมื่อคำนวณทุกรุ่นที่มีแรงม้าไม่เกิน 2 แรง (เกินกว่านี้ไม่ได้ ไฟฟ้าไม่พอ)
พบว่า
1. เส้นประสิทธิภาพ ค่าแปรผกผันของ Q กับ H ค่อนข้างต่ำ ตัว BP5 มี H สูงสุดที่ 24 แต่สามารถจ่ายน้ำที่ H 23.5-22 ได้ Q ที่ 12-21Q
หมายถึงว่า เราสามารถจัดสรรโซนการจ่ายน้ำได้ค่อนข้างหลากหลาย เพราะประสิทธิภาพปั้ม ไม่ตก
เช่น เราวางมินิสปริงเกอร์ 200 หัว แต่ละหัวกินน้ำ 100 ลิตร ก็ได้เท่ากับ 20Q ปั้มนี้ก็ตอบโจทย์ วันหนึ่งเปลี่ยนไปใช้ สปริงเกอร์แค่ 150 หัว ก็ ก็ต้องการน้ำ 15Q ปั้มตัวนี้ก็ยังอัดแรงดันได้ H22-23 โดยประมาณ
ซึ่งหมายถึง เรายังใช้ประสิทธิภาพของมินิสปริงเกอร์ได้เต็ม (มินิสปริงเกอร์บางอันต้องการแรงดัน 1.5-2 บาร์ ในการฉีดน้ำ)
2. ปั้มนี้เป็นยี่ห้ออิตาลี โดยภาพรวมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานเหมือนปั้มจีน
3. จากกราฟนี้

จะเห็นว่า ที่ Q ต่ำ ปั้มใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ Q สูง ปั้มใช้พลังงานไฟฟ้าสูงตาม ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่า ปั้มจีนเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่เท่าที่อ่านๆ มา
จะพบว่า มีปั้มหลายชนิดที่ต้อง ติดตั้งหม้อแรงดัน หรือไม่ก็ทำวาวล์ลดแรงดัน เพราะตัวปั้มมันไม่ปรับแรงตามปริมาณการใช้งาน
แต่ปั้มรุ่นนี้ เรียกว่าปรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าตามปริมาณการจ่ายน้ำด้วย
และเมื่อค้นหาในเน็ต ก็พบว่า ปั้มรุ่นนี้เป็นปั้มรุ่นยอดนิยมพอสมควรครับ ราคาก็ไม่แพง
---------------------------------------------
ท่านลองเอาหลักการนี้ ไปหาปั้มดูว่าตนเองเหมาะกับปั้มแบบไหน
ปั้มสำคัญ เพราะต้นทุนค่าพลังงานถือเป็นต้นทุนแฝงที่หลายคนอาจไม่ได้คิดถึง หากเลือกดีๆ เราจะควบคุมให้ค่าใช้จ่ายต่ำได้ ตามหลัก "ลดได้" ของผมก็ย่อมช่วยให้ ผลกำไรจากธุรกิจการเกษตรของเรามีมากขึ้น